เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม เวลาฟังธรรม เวลาคนไปเกิดต่างประเทศ เวลาฟังธรรมขึ้นมา เทวดามาฟังธรรมหลวงปู่มั่น บอกมาจากเยอรมัน มาจากนี่ เขาว่ามาได้อย่างไร ระยะทางมันไกลมาก ระยะทางไกลมาก แต่ทางของหัวใจมันไม่มีระยะทางไง แค่เหยียดแขนคู้แขนนี่ถึงแล้ว นี่พูดถึงเวลาโลกของจิตวิญญาณนะ ถ้าโลกของจิตวิญญาณมันเคลื่อนไหวได้รวดเร็วขนาดนั้น
นี่ก็เหมือนกัน เรื่องของหัวใจๆ วันนี้วันพระ วันพระขึ้นมา เรื่องของหัวใจ พระพุทธศาสนาสอนเรื่องของความรู้สึก เรื่องของหัวใจนี้ ถ้าใจของคนมีคุณธรรมขึ้นมา ในครอบครัวมีแต่ความสุข มีความร่มเย็นเป็นสุขทั้งนั้นน่ะถ้าหัวใจร่มเย็น
ถ้าหัวใจมันเร่าร้อนไง จะมีความสุขในวัตถุขนาดไหนมันก็มีความเร่าร้อนของมัน ทีนี้พอคนเราเกิดมามันก็ต้อง ถ้าทางโลกเขาบอกว่ามีการแข่งขัน การแข่งขันนะ ทางทุนนิยมบอกแข่งขันเพื่อความเจริญความงอกงาม เพราะการแข่งขันมันต้องมีการค้นคว้ามีการวิจัย ถ้าการวิจัยอย่างนั้นมันทำให้โลกเจริญๆ ไง คำว่า โลกเจริญ นะ ถ้าโลกเจริญมันก็แข่งขัน แข่งขันกันจนมีความทุกข์ความยาก แข่งขันกันจนบาดหมางกันน่ะ
แต่ถ้ามันมีน้ำใจต่อกัน ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ไม่มีกำมือในเรานะ แบตลอด พยายามสั่งสอน แล้วสั่งสอนตั้งแต่ระดับของทาน ระดับของคนที่ไม่มีปัญญาไง ระดับคนที่มีปัญญาขึ้นมา เรื่องอริยสัจ สอนเรื่องอริยสัจ เรื่องปัญญาภายใน ถ้าเรื่องปัญญาภายใน ปัญญาภายใน ปัญญาที่เกิดจากภายในเพราะมันจับถึงความรู้สึกของเรา มันจับถึงความทุกข์ความยากของเราไง แล้วความทุกข์ความยากของเรามันมาจากไหน ความทุกข์ความยากเรามาจากไหน
โดยทางโลก ความทุกข์ความยากก็มาจากความขาดแคลนไง เพราะเราขาดแคลนข้าวของเงินทองเราถึงมีความทุกข์ความยาก ก็แสวงหาข้าวของเงินทองขึ้นมาเพื่อจะให้มันมีความสุขไง ถ้ามีความสุขขึ้นมา พอมีข้าวของเงินทองขึ้นมา มันครบบริบูรณ์ขึ้นมาแล้วมันก็หาความสุขไม่เจอไง ถ้าความสุขอย่างนั้นความสุขเพราะความเข้าใจผิดไง ความเข้าใจผิดคืออะไร ความเข้าใจผิดก็คืออวิชชา อวิชชาเพราะสิ่งนี้มันรู้กันได้
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาสอนถึงระดับของอนุปุพพิกถา เรื่องของทาน เรื่องของทาน เรื่องของการเสียสละ การเสียสละเพื่อเปิดประตูหัวใจของเราเข้ามา ถ้าเปิดประตูหัวใจของเราเข้ามา หัวใจมันเปิดขึ้นมาได้ มันมีน้ำใจกันไปหมดไง วันพระผู้ประเสริฐประเสริฐในหัวใจดวงนี้
เวลาเราพูด ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เห็นตถาคตคือเห็นหัวใจของเรานี่ไง ถ้าเห็นหัวใจของเราแล้วนะ มันสงบร่มเย็นนะ มันอยู่ที่ไหนมันก็อยู่ของมันได้ แต่ถ้ามันหาของมันไม่เจอ เราก็แสวงหา แสวงหาเพราะอะไร เพราะเราก็มีบุญกุศลไง
เราเกิดมาเป็นมนุษย์ไง เกิดมาพบพระพระพุทธศาสนาไง พระพุทธศาสนาสอนถึงความสุขๆ เราก็ตระครุบความสุขกันไง ดูสิ เวลาทางโลกเขาไปทำบุญกัน ขอให้ร่ำขอให้รวย
ขอให้ร่ำขอให้รวย เอ็งก็ต้องเหงื่อไหลไคลย้อยต่อไป ถ้าขอให้ร่ำขอให้รวยนะ แต่ถ้าขอให้มีดวงตาเห็นธรรม ขอให้มีความสุขความสงบในหัวใจของเรา มันจะทุกข์มันจะยากขนาดไหน เราก็ปากกัดตีนถีบของเรา แต่ให้หัวใจของเราร่มเย็นเป็นสุข ถ้าให้หัวใจร่มเย็นเป็นสุขมันต้องมีสติ ดูสิ คนในทางโลก เด็กมันสมาธิสั้นสมาธิยาวมันยังมีปัญหาเลย
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามีสติแล้วพยายามควบคุมดูแลหัวใจของเรา ถ้าควบคุมดูแลหัวใจของเรา ใครจะเยาะใครจะเย้ย ใครจะถากใครจะถาง มันยิ้มๆ ถ้ามันจะเยาะมันจะเย้ย มันจะถากมันจะถาง ไอ้นั่นมันคนบ้า คนบ้ามันเยาะเย้ยถากถางเรา มันไม่ใช่คนดี
อ้าว! คนดี คนดีก็ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนดีก็ดูหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นสิ คนดีท่านอยู่ของท่าน ท่านอยู่ของท่าน เรามองทางโลก ทางโลกผู้ที่เข้ามาใหม่ เวลามาบวชเป็นพระขึ้นมาต้องฉันหนเดียวๆ
โอ้โฮ! มันจะทำได้อย่างไร มันจะเป็นไปได้อย่างไร
โอ๋ย! ถ้าฉันหนเดียว โลกนี้กินข้าวคนละหนเดียวนะ โลกนี้เงินเหลือเฟือเลย นี่ไง ถ้าเราเอาครูบาอาจารย์ของเราเป็นแบบอย่างไง ถ้าเราเอาครูบาอาจารย์เป็นแบบอย่าง ถ้าทำได้ ถ้าทำได้ ถ้าคนมีสติมีปัญญามันทำได้ทั้งนั้นน่ะ ถ้ามีสติปัญญามันเริ่มตั้งแต่ควบคุมดูแลหัวใจของเรา ควบคุมดูแลหัวใจของเรานะ ไม่ใช่มีใครไปบังคับนะ ไม่มีใครมาเคี่ยวเข็ญนะ เราควบคุมดูแลหัวใจของเราเพราะเราพอใจ เราเห็นประโยชน์ข้างหน้าไง เราเห็นประโยชน์ของความทุกข์ความยาก แสวงหามาขนาดไหน พยายามขนาดไหน มันก็ยังทุกข์ มันก็ยังเผาลนอยู่อย่างนั้นน่ะ สิ่งนี้มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย
คนที่มีอำนาจวาสนานะ ในทางธรรมๆ ถ้าทางธรรม ถ้าคนมีอำนาจวาสนาเขาประกอบการงานสิ่งใดเขาจะประสบความสำเร็จของเขา เพราะเขาทำของเขามา นี่คืออำนาจวาสนาของเขา แต่ถ้าทางโลกเขาทำวิจัย เราต้องทำให้ได้แบบนั้น ทำให้ได้แบบนั้น แต่มันมองข้ามเรื่องของกรรมของคนไปไง เรื่องของกรรมคือจังหวะและโอกาส อำนาจวาสนาคือจังหวะและโอกาส เขาเกิดมาพอดี เขาเกิดมาสมควรแบบนั้น เราเกิดมา เราเกิดมาแล้วมันขาดมันแคลนของเรา นี่คืออำนาจวาสนา
ถ้าทำสิ่งใดถ้าประสบความสำเร็จ เขาบอกว่า พระพุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธความร่ำรวย
ก็ไม่ได้ปฏิเสธไง ถ้าร่ำรวย ดูสิ เศรษฐีธรรมๆ ถ้าเศรษฐีทางโลกก็เศรษฐีทางโลก ถ้ามีธรรมในหัวใจของเขาด้วย สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์ อนาถบิณฑิกเศรษฐีไปนิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา มีเงินมีทอง เอาเงินปูซื้อที่สร้างเชตวันให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ถ้าเขามีเงินมีทองของเขา ก็เพื่อประโยชน์กับเขา ขนาดพระเจ้าเชต เจ้าเชตวันเขายังงงนะ เขาเป็นเจ้าของที่ดิน เขาควรจะได้ประโยชน์ เขายังได้แค่ขอส่วนร่วมนิดหน่อย
นี่ไง ถ้าคนที่มีสติมีปัญญาใช้ประโยชน์ได้มันจะใช้เป็นประโยชน์ไง แล้วใช้เป็นประโยชน์แล้วสิ่งนั้นมันจะมาเสริมสร้างอำนาจวาสนาบารมีของตน อำนาจวาสนาบารมีของตน ร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นที่พี่งอาศัยของสัตว์โลก เป็นที่พึ่งอาศัยของคน ถ้าเป็นที่พึ่งอาศัยของเขา ได้เป็นที่พึ่งอาศัยของเขา ถ้าคนที่มีสติมีปัญญานะ เพราะคนมันก็มีหลากหลาย เราช่วยเหลือเจือจานใครมันต้องมีสติปัญญาทั้งนั้นน่ะ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องปัญญาๆ ถ้าเรื่องของทานก็ต้องมีปัญญาของเราเพื่อเราจะเสียสละทานของเรา ถ้าเรื่องของสติ สติมันเป็นสติเฉยๆ เลย แต่ถ้าเรื่องของปัญญานะ มีสติทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้วมันจะเห็นแล้ว มันจะเห็นในใจของเรา วันพระๆ เราขวนขวายกันมาทำไม เราขวนขวายกันมาทำไม เราทุกข์เรายาก เราแสวงหาของเราก็ทุกข์ยากอยู่แล้ว ผู้ที่พวกพราหมณ์เขาบอกว่า ภิกษุ ภิกษุก็ทำนาสิ ภิกษุหากินเองสิ ภิกษุมาขอเขาทุกวันเลย
ภิกษุเห็นภัยในวัฏสงสารใช่ไหม ถ้างานของภิกษุก็งานที่ว่าใช้สติเป็นผาล ใช้สมาธิเป็นเชือก ใช้ปัญญา เราก็ไถหัวใจของเราตลอดเวลานะ ถ้ามันไถ มันทำของมัน นี่งานของภิกษุ เวลานักรบรบกับใคร รบกับกิเลสไง ถ้ารบกับกิเลสนะ ถ้ามันมีคุณธรรมในหัวใจขึ้นมา สิ่งนี้มันจะเจือจานกับสังคมได้ ถ้ามีผู้ทรงศีลทรงธรรมที่ไหน สังคมจะสงบสุข ถ้าสังคมสงบสุข
ทุกคนก็ต้องการแสวงหาทั้งนั้นน่ะ แล้วแสวงหาเงินหาทอง เราแสวงหาเพื่อเป็นความสุข แต่เราไม่เห็นเลยว่าสภาวะสังคมของเรา สภาวะในบ้านของเราที่มันมีความสุขๆ อันนี้มันมีค่ามาก มีค่ามากไง แล้วถ้าหัวใจมันร่มเย็นเป็นสุขล่ะ หัวใจของเรามันร่มเย็นเป็นสุขไหม หัวใจของเรามันดิ้นรนทั้งนั้นน่ะ มันสงสัย มันสงสัย มันวิตกกังวล มันระแวงไปหมดล่ะ มันไม่มีความสุขตรงไหนเลย แล้วเราแสวงหามา แสวงหามาก็เพื่อประโยชน์กับปัจจัยเครื่องอาศัย แต่ประโยชน์กับปัจจัยเครื่องอาศัย เรารักษาชีวิตนี้ไว้ไง ชีวิตนี้ กำเนิด ๔ อาหาร ๔ การกำเนิด ผลของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันเป็นสัจจะเป็นข้อเท็จจริงของมันอยู่อย่างนั้น
แล้วคนที่ฉลาดขึ้นมา คนที่ฉลาด คนที่ฉลาด เรามีชีวิต มีชีวิตมันต้องอาศัยปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อดำรงชีวิต แล้วเรามีชีวิตแล้วเราไม่รักษาชีวิตนี้ เรามีปัญญาหรือ เรามีชีวิต เราก็ต้องอาศัยปัจจัยเพื่อดำรงชีวิต ดำรงชีวิตไว้ทำไม ดำรงชีวิตไว้ให้มันทุกข์ไง ดำรงชีวิตไว้ให้กิเลสมันบี้ไง ดำรงชีวิตไว้เพื่อจะสู้กับมัน ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมาแล้ว เอาแล้ว สิ่งที่หน้าที่ หน้าที่ของเราหาปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อดำรงชีวิต สิ่งที่มีชีวิตมันต้องมีอาหารหล่อเลี้ยงมัน ถ้ามีอาหารหล่อเลี้ยงมัน หล่อเลี้ยง เราก็หามา เราหามา หามาเพื่อดำรงชีวิต ถ้าดำรงชีวิตแล้ว เรามีสติปัญญาขนาดไหน เราจะสร้างประโยชน์แล้ว
ถ้าสร้างประโยชน์ ประโยชน์กับโลก แล้วประโยชน์กับเรา ถ้าประโยชน์กับเรา ประโยชน์กับเรามันเรื่องส่วนตัวเลย เวลาพระทำภัตกิจเสร็จแล้ว ผู้ที่ทำฌานสมาบัติได้ก็ทำฌานสมาบัติ ผู้ที่ทำสมาธิได้ก็ทำสมาธิ ผู้ที่กำลังใช้ปัญญาอยู่ ใช้ปัญญา เข้าสู่เรือนว่าง เข้าสู่โคนไม้ เข้าสู่ต่างๆ พยายามค้นคว้าของเราสิ เวลาเรามีอยู่แล้ว
เวลาเราอยู่ทางโลกเราต้องการเวลา ต้องการอยากประพฤติปฏิบัติ เวลาบวชมาแล้วเวลา ๒๔ ชั่วโมง ๒๔ ชั่วโมงสำหรับพระกรรมฐาน พระกรรมฐานเวลา ๒๔ ชั่วโมงเลย ค้นคว้าหาศัตรู ค้นคว้าหากิเลสในใจของตน แล้วค้นคว้าหากิเลสในใจของตนแล้วเราใช้สติปัญญาแยกแยะมัน ต่อสู้กับมัน เห็นไหม หน้าที่ของพระๆ ถ้าพระประเสริฐ ประเสริฐที่นี่ ถ้าที่นี่ประเสริฐ สมบัติของพระๆ ศีลและธรรมเป็นสมบัติของพระ
ถ้าสมบัติของโลก บุญกุศลเป็นสมบัติของโลก แต่สิ่งที่จะหาสมบัติสิ่งใดมาก็สมบัติมาเพื่อชาติเพื่อตระกูล แต่สมบัติของเรา สมบัติของเราล่ะ ถ้าเป็นสมบัติของเรานะ จะไปไหนมันก็อบอุ่นหัวใจนะ คนเราจะเดินทาง คนเราจะต้องเดินทางมันต้องมีเสบียงทั้งนั้นน่ะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าคนมีบุญกุศล อย่างไรก็แล้วแต่มันก็อบอุ่นในใจของตน คนที่ไม่มีสิ่งใดเลย ชีวิตนี้มาจากไหน ชีวิตนี้มันต้องพลัดพรากจากไป แล้วถ้าพลัดพรากจากไป เราเตรียมตัวอะไรของเราไว้บ้าง ศาสนาสอนเรื่องอะไรไว้บ้าง ศาสนาตอบโจทย์เรื่องชีวิตนี้ ชีวิตนี้มาจากไหน มาจากพ่อจากแม่ มาจากกรรม แล้วเกิดมาแล้วมีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน ถ้ามีสติมากน้อยแค่ไหน มันก็วนอยู่ในโลกนั่นน่ะ ถ้าเวลามันแยกออกมาได้ แยกออกมาได้ก็จะพยายามทำของตน
ไม่ต้องไปห่วง ไม่ต้องห่วงว่าโลกมันขาดแคลน เราไปคนหนึ่งแล้วมันจะมีปัญหา ไม่มีหรอก ขาดแคลนอีก ๑๐ คนก็ไม่เป็นปัญหา มันมีคนมาทดแทนตลอดแหละ แต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริงในใจสิ มันหาแสนยาก ถ้ามันหาแสนยาก
เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอก หาเงินหาทองยังมีเลย ที่ไหนก็มี มันจะขนาดไหน ในคอ ในข้อมือมีทั้งนั้นน่ะ แต่หาครูบาอาจารย์จริงๆ สักองค์มันหาที่ไหน
เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว เวลาท่านแสวงหานะ เวลาแสวงหา ดูสิ คนเจ็บไข้ได้ป่วยเขาพยายามหาหมอของเขา ไอ้นี่ก็เหมือนกันนะ เวลาประพฤติปฏิบัติไปมันโดนกิเลสมันหลอก กิเลสมันทำให้งง กิเลสมันทำให้เสียเวลา กิเลสมันทำให้ผิดพลาด มันอยากจะหาคนบอก มันอยากจะหาคนบอก จะอยู่ไหนก็จะไป จะอยู่ไหนก็จะไป
สมัยหลวงปู่มั่นท่านอยู่เชียงใหม่ เวลาครูบาอาจารย์ที่ประพฤติฏิบัติดั้นด้น ดั้นด้นกันไป ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น ทำไมดั้นด้นขึ้นไปล่ะ ทุกองค์ส่วนใหญ่แล้วจะดั้นด้นขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น สุดท้ายแล้วเวลาหลวงปู่เจี๊ยะท่านเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่มั่นท่านเห็นแก่ศาสนทายาท ท่านจะกลับภาคอีสาน เพราะกลับไปเอาหมู่ ท่านว่าอย่างนั้นเลย แล้วกลับไปก็ได้หมู่จริงๆ ได้หมู่ได้คณะขึ้นมา ไว้รักษา รักษาไข้หัวใจไง รักษากิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของสัตว์โลกไง ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติแล้ว ผู้ที่ผ่านไปแล้วเขาจะเห็นช่องทางของมัน เห็นความหลอกหลอนของมัน เห็นความปลิ้นปล้อนของมัน
แล้วเวลาครูบาอาจารย์ท่านผ่านไปแล้ว ครูบาอาจารย์ทุกองค์ท่านจะพูดเลย ในโลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับกิเลสในหัวใจของสัตว์โลก
กิเลสมันปลิ้นปล้อนนะ เวลาเราอยู่ด้วยกันในหมู่ในสังคม สังคมปลิ้นปล้อน เราก็เสียใจนะ แต่เวลากิเลสมันปลิ้นปล้อนในใจของเราทำไมไม่เสียใจล่ะ แล้วถ้าเสียใจแล้วมันอยู่ไหนล่ะ ทุกคนตั้งใจเป็นคนดีหมดแหละ ทุกคนตั้งใจทำความเพียรทั้งนั้นน่ะ แต่ทำไมทำแล้วมันไม่ได้ผล ทำแล้วไม่ได้ผล มันเป็นเพราะอะไร
ธรรมะมีแต่จะส่งเสริมนะ สิ่งที่มันไม่ได้ผล สิ่งที่มันทุกข์ยากอยู่นี่เพราะกิเลสทั้งนั้นน่ะ ผัดวันประกันพรุ่ง ทำแล้วทำเล่า ทำแล้วไม่ได้ผล กิเลสทั้งนั้นน่ะ แล้วกิเลสของคน นี่ไง อำนาจวาสนา ถ้าเป็นพระอรหันต์ต้องแสนกัป ถ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย พระปัจเจกพุทธเจ้า มันต้องสร้างของมันมา พอมันสร้างสิ่งนั้นมา สร้างกำลังนั้นมา ถ้าสร้างสิ่งนั้นมา
นี่ไง ที่ว่ากิเลสมันอยู่ไหน กิเลสมันอยู่ไหน เราอยากจะชำระล้างกิเลส ทุกคนอยากชำระล้างกิเลส แล้วก็สร้างภาพกิเลสกัน แล้วพอกิเลสแล้วก็จะไปฆ่ามัน นั่นน่ะกิเลสมันหลอก แต่ถ้ากิเลสจริงๆ มันจะย้อนกลับเข้ามา ย้อนกลับเข้ามา ทำความสงบของใจเข้ามา ไอ้ที่มันหงุดหงิดๆ อะไรมันหงุดหงิด แล้วหงุดหงิดที่ทำแล้วมันไม่ได้ผล ไม่ได้ผลเพราะอะไร
ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ของเรามันต้องตัดทอนกำลังของมัน เวลาตัดทอนกำลังของมัน อดนอนผ่อนอาหารมันเป็นพื้นฐานเลย ไม่ใช่เห็นโทษของมัน ไม่ใช่เห็นว่าปัจจัยเครื่องอาศัยนี้มันเป็นโทษ กิเลสเรามันเป็นโทษต่างหาก พอมองเข้าไปแล้ว โอ้โฮ! มันอยากได้อยากดี อยากจะเอาอันนั้น อยากจะเอาอันนี้ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ตักเลยนะ
แล้วถ้าเราทอนมันตั้งแต่ตอนนั้นเลย อยากได้ ไม่เอา อยากได้ ไม่กิน อยากได้ ไม่ทำ ทำสิ่งที่ตรงข้ามกับมัน สิ่งที่ตรงข้ามกับมันก็คือธรรมไง มักน้อยสันโดษไง เราไม่เพิ่มพูนกำลังของมันไง ถ้ามีสติมีปัญญา มันมีสติปัญญามาตั้งแต่ต้น
ไอ้นี่ยัดกระสอบเลย เสร็จแล้วบอกว่าไปนั่งสมาธิดี นั่งสัปหงกอยู่นั่น กระสอบเขาเอาไว้ใส่ข้าว กระเพาะเขาเอาไว้ใส่อาหารพอประทังชีวิต แล้วมีสติปัญญารักษา รักษาอย่างนี้มันต้องมีสติปัญญา มีสติปัญญาเพื่ออะไร มีสติปัญญาเพื่อรักษาหัวใจนี้ไง
ถ้าหัวใจมันเริ่มละเอียดขึ้น มันภาวนาได้ง่ายขึ้น เวลาพุทโธก็พุทโธได้ชัดเจน เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนามันมีหลักมีเกณฑ์แล้ว แล้วถ้าจิตมันสงบเข้ามามันยิ่งมหัศจรรย์ ถ้ามหัศจรรย์ วันนี้วันพระ ไปวัดไปวา ใช่ ไปวัดไปวาเพื่อวัดหัวใจของเรา ข้อวัตรปฏิบัติ เพราะไปแล้วไปคบบัณฑิต ถ้าเราอยู่ของเรา เราก็คิดของเราคนเดียวของเรานั่นแหละ แต่ถ้าไปคบบัณฑิต คบหมู่คณะ ก็ชักชวนกัน มีทางออกอย่างใด ชักชวนกันละกิเลสนะ อย่าชักชวนกันนินทาคนอื่น ชักชวนกันทำคุณงามความดี แล้วเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาของเรา แล้วมันจะละเอียดเข้ามา ฝึกหัด อย่างน้อยก็เป็นจริตนิสัย เราต้องการให้ลูกให้หลานของเราเป็นคนที่นิสัยดี
นี่ก็เหมือนกัน เราต้องการให้จิตใจของเรามันมีแนวทาง อย่างที่ได้เลยคือมันเคยภาวนา อย่างที่ได้เลยคือเคยฝึกหัด จิตที่ไม่เคยทำ ดูสิ คนที่ไม่เคยเล่นอะไร ไม่เคยทำสิ่งใด เขาก็ไม่เคย พอเขาได้เล่นได้ทำสิ่งใดเขาก็รู้กติกาการเล่นการกระทำกีฬาชนิดนั้น จิตของเราไม่เคยประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ไม่เคยกระทำเลย มันก็จะไม่รู้ว่าการกระทำเป็นอย่างใด แล้วเวลาเขามาถาม เดินจงกรมอย่างไร นั่งสมาธิแบบใด
ทำไปเถอะ หัดทำเลย ผิดถูกเดี๋ยวมันรู้ขึ้นมา เล่นกีฬาไม่เป็นก็ฝึกหัดเล่น ถ้าผิดถูกเดี๋ยวเขาจะบอกวิธีการนี้เอง นี่ก็เหมือนกัน เรามาฝึกหัดภาวนา ถ้ามันจะไม่ได้สิ่งใดเลยมันก็ได้จริตนิสัย มันได้วิธีการกระทำ มันได้แนวทาง แล้วทำของเรา ทำของเรา ฝึกหัดของเรา เราทำของเราขึ้นมา ถ้ามันมีเหตุขึ้นมามันก็ต้องมีผลของมัน ไอ้นี่เหตุมันไม่มี มีแต่การคาดการหมาย มีแต่ความต้องการ แต่มันไม่มี
แต่ถ้ามันมี ถ้าปฏิบัติขึ้นไป ถ้ามันผิดก็แก้ให้มันถูก ถ้าปฏิบัติไป ถ้าไม่ได้สิ่งใด ไม่ได้สิ่งใดก็ฝึกหัด ฝึกหัดเพื่ออำนาจวาสนาบารมี อำนาจวาสนาบารมีที่ว่าสร้างมา สร้างมามากสร้างมาน้อย ถ้าสร้างมามาก มุมมองนะ มุมมองเรื่องสติปัญญามันพยายามจะเอาสิ่งนั้น ธรรมะเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรม เวลามันสถิตในใจของสัตว์โลกมันชัดเจนมาก สิ่งที่จารึกไว้ในแผ่นหินเลย มันยังลืม จารึกเอาไว้เลย แกะสลักไว้เลย มันยังลืม
แต่ถ้ามันเป็นความจริง ความจริงในใจสำคัญมาก ใจนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ อริยสัจมันเป็นชื่อ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เวลาทำขึ้นมาในใจของเราเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ปัญญามันเกิดขึ้นๆ มันจะดูแลหัวใจของเรา
วันพระ ให้สมกับเราเป็นชาวพุทธไง วันโกน วันพระเป็นวันที่เราจะแสวงหาสัจจะความจริงเข้าสู่ใจของเรา สัจจะความจริงนะ เพราะวันพระ วันพระวันเปิดโลกนะ ๑๕ ค่ำ เปิดโลกเลยล่ะ เพราะอะไร เพราะทำบุญกุศล อุทิศส่วนกุศลไป พวกสัตว์ที่ไร้ญาติ พวกจิตวิญญาณที่ไม่มีใครดูแลที่มันทุกข์มันยาก เขาจะได้บุญกุศลอย่างนี้ไง เขาถึงนิยมทำบุญกันวันพระ ๑๕ ค่ำ วันพระ ๑๕ ค่ำ วันเปิดโลกนะ แต่นี้เราจะเปิดหัวใจของเรา เปิดหัวใจของเรา มาวัดหัวใจของเรา เพื่อประโยชน์กับหัวใจของเรา เอวัง